ตำนานหนองหาร
ขอขอบคุณภาพ จาก ททท.นครพนม
หนองหาร ที่ตั้งและอาณาเขต หนองหาร
จังหวัดสกลนคร
เป็นแหล่งน้ำธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตั้งอยู่ประมาณเส้นรุ้งที่
107 องศา 6 ลิปดาเหนือ กับเส้นแวงที่ 104 องศา 8 ลิปดาตะวันออกถึง 104
องศา 18 ลิปดาตะวันออก สูงจากระดับน้ำทะเลเฉลี่ยปานกลางประมาณ
158
เมตร ความกว้างประมาณ 7 กิโลเมตร ยาว 18 กิโลเมตร
พื้นที่รวมทั้งสิ้น 123ตารางกิโลเมตร
ครอบคลุมเขตการปกครองเทศบาลเมืองสกลนคร กับอีก 10 ตำบล
ของอำเภอเมืองสกลนคร และอำเภอโพนนาแก้ว ได้แก่ ตำบลธาตุเชิงชุม ตำบลธาตุนาเวง
ตำบลเชียงเครือ ตำบลท่าแร่ ตำบลนาแก้ว ตำบลบ้านแป้น ตำบลนาตงวัฒนา
ตำบลม่วงลายตำบลเหล่าปอแดง และตำบลงิ้วด่อน
หลักฐานทางโบราณคดีบริเวณหนองหาร
จังหวัดสกลนคร เป็นจังหวัดที่อยู่ในภาคอีสานตอนบน ในบริเวณที่เรียกว่า “แอ่งสกลนคร” โดยมีแนวเทือกเขาภูพานเป็นแนวยาวทางทิศเหนือ
ทิศตะวันตกและทิศใต้
มีพื้นที่ราบอยู่ทางทิศตะวันออกลาดเอียงเข้าสู่ชายฝั่งแม่น้ำโขง
สกลนครจึงนับว่าเป็นแหล่งที่มีความอุดมสมบูรณ์
จึงเป็นแหล่งอาศัยของมนุษย์มาหลายยุคหลายสมัย
ต่อเนื่องมานับตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ ดังปรากฏหลักฐานทางโบราณคดีที่สำคัญ
เช่น ภาพสลักผาหินที่ถ้ำผายนต์ หรือ ถ้ำผาลาย ถ้ำพระด่านแร้ง
และภาพเขียนสีก่อนประวัติศาสตร์ที่ถ้ำผักหวาน นอกจากนี้ยังปรากฏหลักฐานเกี่ยวกับภาชนะเครื่องใช้
เครื่องปั้นดินเผาต่างๆ ตลอดจนเครื่องสำริด และเครื่องโลหะ
ซึ่งจากหลักฐานเครื่องมือเครื่องใช้ของคนก่อนประวัติศาสตร์ที่พบในจังหวัดสกลนครนี้เชื่อว่ามีอายุร่วมสมัยเดียวกันกับวัฒนธรรมบ้านเชียง
และนอกจากนี้ยังปรากฏหลักฐานทางด้านโบราณคดีจำนวนมากตั้งแต่สมัยทวารวดีโดยมีการพบใบเสมาหิน
พระพุทธรูปสมัยทวารวดีกระจายอยู่ทั่วไป ซึ่งอยู่ราวพุทธศตวรรษที่ 15-16 ซึ่งได้รับอิทธิพลศิลปะจากขอมเช่นปราสาทพระธาตุนารายณ์เจง
ปราสาทพระธาตุภูเพ็ก ปราสาทบ้านพินนา
ศิลาจารึกอักษรขอมที่วัดพระธาตุเชิงชุมวรวิหาร
จากประวัติและหลักฐานความเป็นมาของจังหวัดสกลนครดังกล่าว
แสดงให้เห็นว่าชุมชนโบราณในบริเวณพื้นที่นี้มีการทิ้งร้างไม่อยู่ระยะหนึ่ง
จนกระทั่งในช่วงพุทธศตวรรษที่19
เป็นต้นมาจนถึงพุทธศตวรรษที่
24 ชุมชนนี้
จึงได้รับอิทธิพลพุทธศาสนาและมีการอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานอีกครั้งหนึ่ง
ลักษณะทางกายภาพของหนองหารสกลนครเป็นแหล่งน้ำธรรมชาติขนาดใหญ่มีน้ำเต็มอยู่ตลอดปีเนื่องจากเป็นแหล่งริมน้ำจากลำน้ำหลายสาย
ทำให้เป็นแหล่งอาหารที่สำคัญของชุมชนนี้
จึงเป็นที่สร้างบ้านแปลงเมืองนี้ตั้งแต่อดีต
จนถึงปัจจุบันดังที่ปรากฏหลักฐานทางด้านโบราณคดีตำนานและบันทึกทางประวัติศาสตร์ได้ขนานนามชุมชนนี้ว่าเมืองหนองหารหลวง
” พื้นที่โดยรอบหนองหารยังปรากฏร่องรอยการตั้งถิ่นฐานย้อนหลังขึ้นไปจนถึงยุคก่อนประวัติศาสตร์
ดังรายละเอียด ดังนี้
เกาะดอนสวรรค์ใหญ่
อำเภอเมืองสกลนคร เป็นดอนใหญ่ที่สุดในหนองหารอยู่ห่างจากฝั่งด้านสถานีประมงจังหวัด
สกลนคร
ประมาณ 7
กิโลเมตร
ทางด้านทิศใต้ของดอนจะอยู่ใกล้กับบ้านพักของประมงจังหวัดสกลนครมีรากฐานศาสนสถานเก่า
ขนาดไม่ใหญ่โตนัก 1 แห่ง ก่อด้วยศิลาแลง ขนาดกว้างประมาณ 39.40 เซนติเมตร ยาว 50 เซนติเมตร หนา 12 เซนติเมตร รอบๆ บริเวณซากศาสนสถานมีศิลาแลง กระจายเกลื่อนอยู่มากมาย
บนซากฐานแลงมีร่องรอยการก่อสร้างเป็นศาสนสถานด้วยอิฐในรุ่นหลังและมีชิ้นส่วนของเสา
8 เหลี่ยมก่อด้วยอิฐฉาบปูนหักตกอยู่ด้วยอีก 2 ชิ้นถัดจากซากศาสนสถาน ไปทางเหนือเล็กน้อยเป็นศาลาโถง
สร้างใหม่ด้วยไม้เป็นที่ประดิษฐาน รอยพระพุทธบาท ยาวประมาณ 135 เซนติเมตร สลักรอยพระพุทธบาทเป็นมงคล 108
ซึ่งเข้าใจว่านำโบราณวัตถุในสมัยรัตนโกสินทร์ส่วนในสุดของศาลาโถง
มีชิ้นส่วนพระพุทธรูปปั้นด้วยปูนขาวที่ได้รับการซ่อมแซมใหม่แล้ว 2 องค์
ดอนสวนหมาก อำเภอเมืองสกลนคร เป็นดอนเล็กๆ
อยู่ห่างจากดอนสวรรค์ใหญ่ไปทางทิศใต้ประมาณ 3-4 กิโลเมตร
ทอดยาวไปตามแกนแนวเหนือ-ใต้
ผงเศษภาชนะดินเผามีทั้งชนิดลายเชือกทาบ ลายขูดขีดและแบบยังเรียบทาสลับสีต่างๆ
ความหนาต่างๆ กัน หลายชิ้นมีลักษณะร่วมสมัยรุ่นเดียวกับบ้านเชียง
และบางชิ้นก็น่าจะอยู่ในสมัยทวารวดี
และอื่นๆ
ด้านทิศใต้ของดอน พบว่ามีซากฐานศาสนสถานก่อด้วยศิลาแลง
และหินทรายประกอบกันพอสังเกตเห็นได้ว่าเป็นส่วนมุมของสิ่งก่อสร้างอย่างค่อนข้างชัดเจนถึง
2 จุดด้วยกัน ด้านเหนือของซากศาสนสถานหลักเสมาหินทรายโผล่เหนือผิวดินขึ้นมาประมาณ
15
เซนติเมตร หนาประมาณ 15 เซนติเมตร เห็นรอยสลักเป็นยอดแกนสถูปทั้งสองด้าน
บ้านคูสนาม ตำบลงิ้วด่อน อำเภอเมืองสกลนคร ตั้งอยู่ระหว่างละติจูดที่ 17 องศา 06 ลิบดา 27
ฟิลิปดาเหนือ และลองติจูด 104 องศา 10
ลิปดา 18 ฟิลิปดาตะวันออก สภาพพื้นที่เป็นที่ราบลุ่ม
จากภาพถ่ายทางอากาศแหล่งชุมชนโบราณจะอยู่กึ่งกลางหมู่บ้าน
มีคันดินชั้นเดียวล้อมรอบ กว้างประมาณ 300 เมตร ยาวประมาณ 500 เมตร
ลักษณะคล้ายเป็นสระเก็บน้ำ ในฤดูแล้งมากกว่าจะเป็นคูเมือง อย่างไรก็ตาม
เนื่องจากเป็นที่ลุ่มน้ำท่วมถึงและไม่มีเนินดินที่แสดงว่าใช้เป็นที่ฝังศพ
จึงไม่พบหลักฐานเครื่องมือเครื่องใช้ ในการดำรงชีวิตและพิธีกรรม
หลักฐานที่สำคัญได้แก่ โบสถ์แบบล้านช้างปรากฏอยู่ในบริเวณที่สร้างโบสถ์ใหม่
ในปัจจุบันดินบางส่วนถูกบุกรุกเป็นเขตไร่นาของชาวบ้านที่มีที่ดินใกล้ชิดบริเวณที่
เช่น คูสนาม
บ้านโพธิ์ศรี ตำบลงิ้วด่อน อำเภอเมืองสกลนคร
บ้านโพธิ์ศรีอยู่ห่างจากบ้านคูสนามประมาณ 4 กิโลเมตร จากภาพถ่ายทางอากาศ บ้านโพธิ์ศรีมีคันดิน
เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดใหญ่ ชาวบ้านเรียกคันดินนี้ว่า “คูขวางคูซอย”
พื้นที่กว้างประมาณ 500 เมตร ยาวประมาณ 900 เมตร สูง 1.50 เมตร ความกว้างของสันคูประมาณ 10 เมตร
อย่างไรก็ตาม
ลักษณะของคันดินดังกล่าวเชื่อว่าอาจใช้กักเก็บน้ำเพื่อการเพาะปลูกในชุมชนแห่งนี้มากกว่าเป็นคูเมือง
ในด้านหลักฐานโบราณคดีอื่นๆชาวบ้านได้ขุดพบไหน้ำอ้อยและไหสีขาวอ่อน
พบโครงกระดูกที่มีขนาดใหญ่ในบริเวณทิศตะวันออกเฉียงเหนือของหมู่บ้าน
พบไหบรรจุกระดูกซึ่งคาดว่าคงเป็นการฝัง 2 ครั้ง
คือนำผู้ตายมาฝั่งในหลุมศพจนเน่าเปื่อยแล้วนำกระดูกบรรจุไหฝังอีกครั้งหนึ่งซึ่งเป็นประเพณีฝังศพของคนสมัยก่อนประวัติศาสตร์
บ้านหนองสระ ตำบลดงชน อำเภอเมืองสกลนคร ตั้งอยู่ริมหนองหารสกลนคร
ทางทิศใต้เป็นเนินดินยาวชาวบ้านขุดพบภาชนะลายเชือกทางอย่างหยาบๆ
โครงกระดูกมนุษย์เครื่องประดับสำริด และเครื่องมือเหล็ก ในระดับ 1.50 เมตร บริเวณนี้ไม่พบภาชนะเขียนสีแบบบ้านเชียง ที่พบที่บ้านม่วงตำบลห้วยยาง
อำเภอเมืองสกลนคร
แต่บรรดาเครื่องปั้นดินเผาและโบราณวัตถุอื่นมลักษณะเหมือนกันกับที่บ้านม่วง
บ้านนาดอกไม้ ตำบลธาตุนาเวง อำเภอเมืองสกลนคร เป็นเนินดินยาว
อยู่ริมหนองหารสกลนคร ทางซีกตะวันตกพบโครงกระดูกภาชนะลายเชือกทาบอย่างหยาบๆ
เครื่องประดับสำริด ลูกปัดแก้วและเครื่องมือเหล็กในระดับ 1.50 เมตร แต่ไม่พบภาชนะเขียนสีแบบบ้านเชียง จากการพบแหล่งโบราณคดีนี้ บ้านนาดอกไม้
บ้านหนองสระ และบ้านม่วง ซึ่งล้วนแต่กระจายอยู่ริมขอบหนองหารสกลนคร
ทำให้ตระหนักว่าแหล่งเหล่านี้น่าจะเป็นแหล่งก่อนประวัติศาสตร์
ที่มีทั้งความสัมพันธ์กับวัฒนธรรมบ้านเชียงและแตกต่างจากบ้านเชียง
บ้านท่าลาด ตำบลเหล่าปอแดง อำเภอเมืองสกลนคร
ตั้งอยู่ริมหนองหารสกลนครด้านทิศใต้
เป็นบริเวณที่พบเศษเครื่องปั้นดินเผาลายเชือกทาบแบบหยาบๆ
แต่ไม่พบโครงกระดูกมนุษย์สมัยก่อนประวัติศาสตร์ พบเนินดินที่มีการสร้างศาสนสถาน
ในสมัยทราวดีตอนปลาย และลพบุรีเรื่อยมาจนถึงสมัยล้านช้าง โบราณสถานที่สำคัญ ได้แก่
เนินดินที่มีเสมาหินปักล้อม ในเขตวัดท่าวัดเหนือ
เป็นเสมาขนาดเล็กที่มีการสลักเป็นพระสถูป
หรือลวดลายที่เป็นสัญลักษณ์ทางพุทธศาสนาพบฐานวิหารก่อด้วยศิลาแลงและอิฐ
พบพระพุทธรูปแบบทวาราวดี
ตอนปลายและแบบลพบุรีและฐานพระพุทธรูปศิลาขนาดใหญ่ในสมัยล้านช้าง
มีการสร้างโบสถ์ฐานก่อด้วยอิฐในบริเวณนี้หลายแห่งหลักฐานด้านโบราณคดีที่บ้านท่าวัด
เป็นประจักษ์พยานให้เห็นว่าชุมชนในบริเวณรอบๆ หนองหารสกลนครนี้ ได้พัฒนาเข้าสู่สมัยที่มีการนับถือพระพุทธศาสนาในสมัยทวาราวดีตอนปลายก่อนที่จะมีการสร้างเมืองหนองหารหลวงขึ้นริมหนองหารสกลนคร
และมีการสร้างศาสนสถานแบบขอมในสมัยลพบุรี
บริเวณรอบๆ หนองหาร จัดเป็นสวนสุขภาพขนาดใหญ่
เรียกว่าสวนสมเด็จพระศรีนครินทร์ หรือที่รู้จักกันทั่วไปในชื่อสระพังทอง
จัดเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจ มีพรรณไม้นานาชนิด สวนหย่อมสวยงาม
เหมาะแก่การออกกำลังกายและพักผ่อนหย่อนใจ
ตำนานหนองหาร
การเกิดขึ้นของหนองหารนั้น
ตามความเชื่อที่ว่า แต่เดิมขอมปกครองเมืองนี้มาก่อน ยังปรากฏในตำนานนิทานพื้นบ้าน
เล่าสืบกันมาจนทุกวันนี้คือ ตำนานฟานด่อน หรือ เก้งเผือก และนิทานเรื่อง กะฮอกด่อน
หรือ กระรอกเผือก ตำนานฟานด่อน เป็นตำนานที่ปรากฏอยู่ในหนังสืออุรังคนิทาน เป็นเรื่องอธิบายสาเหตุที่เมืองเก่าซึ่งตั้งอยู่ในบริเวณท่านางอาบ บ้านท่าศาลา บ้านน้ำพุ
ริมหนองหาร ถล่มล่มลงในหนองหาร และแล้วมีการสร้างเมืองใหม่ขึ้น ที่บริเวณ ธาตุเชิงชุม
อีกฝั่งหนึ่งของหนองหาร โดย พระยาสุวรรณภิงคาร โอรสพญาขอม
ตำนานเรื่องนี้ ยังมีความสอดคล้องกับชื่อหมู่บ้านอีกหลาย แห่งริมหนองหาร
จึงทำให้ผู้คนเชื่อว่า เป็นเรื่องจริง จนถือกันว่า เมื่ออยู่ในหนองหารไม่ควรพูดถึงเรื่องนี้
จะได้รับอันตราย เรือจะล่ม ถูกเงือกทำร้าย หรือหาปลาไม่ได้ ในส่วน นิทานกะฮอกด่อน แม้จะเป็นการอธิบายการเกิดหนองน้ำขนาดใหญ่ทั่วไปก็ตาม
แต่ชาวสกลนครก็เชื่อว่า นิทานเรื่องนี้ เป็นที่มาของการถล่มทลายหนองหาร
ซึ่งเกิดจากการกระทำของพญานาค
นายสรรค์สนธิ
บุณโยทยาน เกษตรและสหกรณ์จังหวัดสกลนคร ผู้เชี่ยวชาญด้านดาราศาสตร์ และผู้จัดทำหนังสือสุริยปฏิทินพันปี
บอกว่า ผู้คนทั่วโลกมีจินตนาการไม่แตกต่างกัน เมื่อมีวิถีชีวิตของพวกเขาผูกพันกับหนองน้ำ
หรือบึงขนาดใหญ่ คำอธิบายที่ได้ยินมักจะหนักไปในทางเรื่องราวของความเชื่อ
สิ่งศักดิ์สิทธิ์ และอภินิหาร หนองหาร จ.สกลนคร
บึงน้ำจืดขนาดใหญ่ที่สุดของภาคอีสาน ก็หนีไม่พ้นสูตรสากลนี้
ในครั้งที่ย้ายมารับราชการที่ จ.สกลนคร เมื่อปี ๒๕๒๑ นายสรรค์สนธิ กล่าวว่า
สิ่งแรกที่ได้ยินก็คือ ตำนานหนองหาร ซึ่งเกิดจากการถล่มของพญานาคราช ที่มีเรื่องโกรธแค้นกับเจ้าผู้ครองนครหนองหานหลวง
เป็นเรื่องเดียวกันกับ หนองหาน ที่ อ.กุมภวาปี จ.อุดรธานี ที่อยู่ห่างออกไปประมาณร้อยกว่ากิโลเมตร
แต่มีอีกเรื่องหนึ่ง
ที่ไม่เหมือนใคร คือ คำเล่าลืออย่างต่อเนื่องของ พระพุทธรูปขนาดยักษ์
ที่จมอยู่ใต้น้ำหนองหาร คนเฒ่าตนแก่เล่าให้ฟังว่า เคยลงไปหาปลาแล้ว
พบเศียรพระพุทธรูปขนาดมหึมา โผล่ขึ้นมาปริ่มน้ำ บางคนเล่าว่า
ไปทอดแหแล้วกู้ไม่ขึ้น เหมือนติดอะไรสักอย่าง พอดำน้ำลงไปดู
กลับพบว่าแหไปพันติดกับเศียรพระพุทธรูปขนาดสามคนโอบ ส่วนคนวัยหนุ่มจะเล่าว่า
เคยดำน้ำเข้าไปในรูจมูกของพระพุทธรูป ได้ยินเรื่องแบบนี้อย่างต่อเนื่องตลอด ๓๐ ปี
ขนาดอดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรท่านหนึ่ง เคยชวนไปดำน้ำ หาพระพุทธรูปดังกล่าว
แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีใครกล้าลงไป
"ในฐานะที่สนใจศึกษาค้นคว้า
เกี่ยวกับเรื่องราวความเป็นมาของเมืองหนองหารหลวง สันนิษฐานว่า พระพุทธรูปดังกล่าวอาจจะมีอยู่ใต้น้ำ
แต่ขนาดคงไม่ใหญ่เท่ากับที่เล่าลือ เพราะเรื่องทำนองจากงูเขียวกลายเป็นพญานาค
เป็นสิ่งปกติของสังคมไทย ผมคิดว่าในยุคที่อาณาจักรทวารวดีแผ่อิทธิพลเข้ามาในดินแดนหนองหารหลวง
มีการตั้งบ้านเรือน และก่อสร้างวัดจำนวนมากที่บริเวณริมหนองหาร ปัจจุบันยังมีหลักฐานปรากฏให้เห็นที่
บ้านท่าวัด อ.เมือง จ.สกลนคร เช่น หลักเสมาหินทราย และพระพุทธรูปศิลปะทวารวดี
และในที่เดียวกันนี้ ก็มีพระพุทธรูปสมัยขอมเรืองอำนาจ" นายสรรค์สนธิ กล่าว
ขอขอบคุณ ข้อมูล จาก ททท.สำนักงานนครพนม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น