วันพฤหัสบดีที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2559

สกลนคร นครแห่งธรรมะ



สกลนคร เป็นแหล่งธรรมะ มีปูชนียสถานที่สำคัญทางพระพุทธศาสนาหลายแห่ง เช่น พระธาตุเชิงชุม พระธาตุดูม พระธาตุนารายณ์เจงเวง พระธาตุศรีมงคล พระธาตุภูเพ็ก และมีพระเกจิอาจารย์ดังที่เป็นที่รู้จักของคนทั้งประเทศ อาทิ พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต, พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร, หลวงปู่หลุย จันทสาโร, พระอาจารย์วัน อุตตโม และหลวงปู่เทสก์ เทสก์รังสี เป็นต้น
จังหวัดสกลนครตั้งอยู่บริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน มีประวัติศาสตร์มายาวนาน ตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ โดยมีการขุดพบฟอสซิลไดโนเสาร์บริเวณแนวทิวเขาภูพาน อำเภอวาริชภูมิ ภาพเขียนสีก่อนประวัติศาสตร์ ชุมชนโบราณในพื้นที่จังหวัดสกลนครอยู่ร่วมสมัยเดียวกับอารยธรรมบ้านเชียงในจังหวัดอุดรธานี จากการสำรวจแหล่งชุมชนโบราณในพื้นที่แอ่งสกลนคร บริเวณลุ่มแม่น้ำสงครามครอบคลุมพื้นที่บางส่วนของอำเภอบ้านดุง อำเภอหนองหาน จังหวัดอุดรธานี อำเภอสว่างแดนดิน อำเภอวาริชภูมิ อำเภอพังโคน อำเภอวานรนิวาส อำเภอพรรณานิคม และรอบ ๆ หนองหาร อำเภอเมืองสกลนคร พบแหล่งโบราณคดีก่อน ประวัติศาสตร์จำนวน 83 แห่ง ชุมชนโบราณของแอ่งสกลนครนี้มีอายุประมาณ 600 ปีก่อนพุทธกาลจนถึงพุทธศตวรรษที่ 8 (ระหว่าง 3,000-1,800 ปีมาแล้ว) จากหลักฐานการค้นพบต่าง ๆ ของที่นี่พบว่า ชุมชนโบราณในแอ่งสกลนครได้มีการรวมตัวกันเป็นสังคมขนาดใหญ่และอาจจะพัฒนา เป็นสังคมเมืองในสมัยต่อมา
สกลนครเดิมชื่อ เมืองหนองหารหลวง แห่งอาณาจักรขอมโบราณ โดยขุนขอมราชบุตรเจ้าเมืองอินทปัฐนคร ซึ่งได้อพยพครอบครัวและบ่าวไพร่มาจากเมืองเขมร มาสร้างเมืองใหม่ที่ริมหนองหารหลวง บริเวณท่านางอาบ ปัจจุบันเรียกว่าท่าศาลา อำเภอโคกศรีสุพรรณ มีเจ้าปกครองเรื่อยมาจนสิ้นสมัยพระเจ้าสุวรรณภิงคาระ เมื่อเกิดฝนแล้งทำให้ราษฎรอพยพไปเมืองเขมร เมืองหนองหารหลวงจึงร้างอยู่ระยะหนึ่ง ครั้นถึงพุทธศตวรรษที่ 19 เมื่อสกลนครอยู่ภายใต้อิทธิพลของอาณาจักรล้านช้าง จึงได้เปลี่ยนชื่อเมืองเป็น "เชียงใหม่หนองหาร" หรือเมืองสระหลวงหลัง จากนั้นเมืองสกลนคร คงอยู่ใต้การปกครองกันไปมา ระหว่างอาณาจักรล้านช้างกับอาณาจักรสุโขทัย และไม่ค่อยมีบทบาททางประวัติศาสตร์ที่โดดเด่นนัก จนมาถึงสมัยกรุงศรีอยุธยา ผู้คนกระจัดกระจายเป็นชุมชนเล็กๆทำมาหากินตามริมหนองหาร จ่ายส่วย อากรให้เจ้าแขวงประเทศราชศรีโคตรบอง เพื่อถวายต้นไม้เงิน ต้นไม้ทองให้แก่ราชธานีกรุงศรีอยุธยาในสมัยนั้น
จนมาถึงในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชได้ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้อุปฮาดเมืองกาฬสินธุ์ พร้อมด้วยครอบครัวมาตั้งบ้านเมืองดูแลรักษาองค์พระธาตุเชิงชุม จนมีผู้คนมากขึ้นแล้วจึงโปรดเกล้าฯ ให้ยกบ้านธาตุเชิงชุมเป็น เมืองสกลทวาปี โดยแต่งตั้งให้อุปฮาดเมืองกาฬสินธุ์เป็นพระธานี เจ้าเมืองสกลทวาปีคนแรก ต่อมาปี พ.ศ. 2369 รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เกิดกบฏเจ้าอนุวงศ์เวียงจันทน์ เจ้าเมืองสกลทวาปีไม่ได้เตรียมกำลังป้องกันเมือง เจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) เป็นแม่ทัพมาตรวจราชการเห็นว่าเจ้าเมืองกรมการไม่เอาใจใส่ต่อบ้านเมือง ปล่อยให้ข้าศึก (ทัพเจ้าอนุวงศ์) ล่วงล้ำไปเมืองนครราชสีมาได้โดยง่าย จึงสั่งให้นำตัวพระธานีไปประหารชีวิตที่หนองทรายขาว พร้อมกับกวาดต้อนผู้คนในเมืองสกลทวาปีไปอยู่ที่เมืองกบินทร์บุรีบ้าง เมืองประจันตคามบ้าง ให้คงเหลือรักษาองค์พระธาตุเชิงชุมแต่เพียงพวกเพี้ยศรีคอนชุม ตำบลธาตุเชิงชุม บ้านหนองเหียน บ้านจานเพ็ญ บ้านอ่อมแก้ว บ้านธาตุเจงเวง บ้านพราน บ้านนาคี บ้านวังยาง และบ้านพรรณา รวม 10 ตำบล เพื่อให้เป็นข้าปฏิบัติพระธาตุเชิงชุมเท่านั้น
ในสมัยต่อ ๆ มาได้มีราชวงศ์คำแห่งเมืองมหาชัยกองแก้วทางฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง ได้อพยพข้ามแม่น้ำโขงเข้ามาขอพึ่งพระบรมโพธิสมภาร ขอสร้างบ้าน แปงเมืองขึ้นใหม่ที่เมืองสกลทวาปี พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ราชวงศ์คำเป็นพระยาประเทศธานี (คำ) ในตำแหน่งเจ้าเมืองสกลทวาปี และทรงเปลี่ยนนามเมืองใหม่เป็น เมืองสกลนคร ตั้งแต่บัดนั้นมา จนถึง พ.ศ. 2435 รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว การปกครองเมืองสกลนคร จึงเปลี่ยนเป็นรูปแบบการปกครองส่วนภูมิภาคมณฑลเทศาภิบาล โดยส่วนกลางส่งพระยาสุริยเดช (กาจ) มาเป็นข้าหลวงเมืองสกลนครคนแรก


 ประวัติศาสตร์ จังหวัดสกลนคร  ดินแดนอารยธรรมแห่งอีสาน
          เมืองสกลนคร เป็นเมืองเก่าที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน ดังปรากฏชื่อเมืองที่เปลี่ยนแปลงถึง 3 ครั้งด้วยกัน คือ เมืองหนองหารหลวง เมืองสกลทวาปี และเมืองสกลนคร จึงมาเป็นจังหวัดสกลนครในยุคปัจจุบัน  
สกลนครยุคก่อนประวัติศาสตร์
          หลักฐานทางโบราณคดียุคหินใหม่ นักโบราณคดีได้ขุดค้น โครงกระดูกของคนยุคก่อนประวัติศาสตร์เหล่านี้ มีอายุระหว่าง 3,200-1,000 ปี ก่อนพุทธศักราช ที่บ้านดอนธงชัย ตำบลสว่างแดนดิน อำเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร ในเวลาต่อมาอีกประมาณ 500 ปี คือ ราว 2,500 ปี ก่อนพุทธศักราช ศูนย์กลางการผลิตเหล็ก และเกลือ อยู่ที่แอ่งโคราช และลุ่มแม่น้ำสงครามแถบสกลนคร ทำให้มีการเคลื่อนย้ายของชุมชนบ้านเชียง ซึ่งส่วนหนึ่งกระจายสู่พื้นที่รอบ ๆ หนองหารหลวง สกลนคร และมีหลักฐานเครื่องปั้นดินเผารูปแบบวัฒนธรรมบ้านเชียงตอนปลายปรากฏอยู่ทั่วไป

ยุคเหล็กในสกลนคร
            จากการศึกษาของนักประวัติศาสตร์และโบราณคดี อุตสาหกรรมเหล็กนั้นเกิดขึ้นในราว 2,400 ปี ส่วนการผลิตเกลือเกิดขึ้นเมื่อ 2,000 ปี ก่อนพุทธศักราช ในช่วงเวลา 3,200-2,500 ปี ก่อนพุทธศักราช  ซึ่งพบหลักฐานตามลุ่มแม่น้ำสงครามตอนบน ที่บ้านใหม่พัฒนา ตำบลสร้างค้อ อำเภอภูพาน และในเขตบ้านหนองสะไน ตำบลนาม่อง อำเภอกุดบาก และแหล่งที่สำคัญบนที่ดอนสูง บ้านพาน ตำบลขมิ้น อำเภอเมืองสกลนคร  
ในยุคเหล็กนี้ นอกจากการอาศัยอยู่ในที่ราบลุ่มน้ำแล้ว ยังมีบางชุมชนขึ้นไปอาศัยอยู่ตามเทือกเขาภูพาน เกิดศิลปะถ้ำที่มีทั้งการขีดเขียน การจารเซาะร่องลงในแผ่นหินทราย และภาพเขียนสีตามเพิงผา เช่น ที่ถ้ำผาลายภูผายนต์ ถ้ำพระด่านแร้ง ถ้ำม่วงภูถ่อ และถ้ำผักหวาน

สกลนครสมัยทวารวดี
          ทวารวดี เป็นอิทธิพลวัฒนธรรมจากประเทศอินเดีย ทีผสมผสานกับวัฒนธรรมกลุ่มชนดั้งเดิม ที่อยู่ในพื้นที่ประเทศไทยแล้ว จากหลักฐานทางโบราณคดียืนยันได้ว่า ระหว่างพุทธศตวรรษที่ 12-16   หลักฐานทางโบราณคดี สมัยทวารวดีในสกลนคร มีพระพุทธไสยาสน์ศิลปะทวารวดีแกะสลักที่หน้าผาหินทราย และพระพุทธรูปดินดิบในบริเวณวัดเชิงดอยเทพรัตน์ และในเขตรอบ ๆ หนองหารพบพระพุทธรูปทวารวดีปางสมาธิมารวิชัย ที่วัดกลางศรีเชียงใหม่ และเสมาหินทั้ง 8 ทิศ ปักที่เนินดินเขตพิธีกรรม  

สกลนครสมัยลพบุรี
          ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 16-18 รับอิทธิพลของขอมทั้งในด้านการปกครอง เศรษฐกิจ สังคม และศาสนา โดยเฉพาะพุทธศตวรรษที่ 16 เมืองลพบุรีเป็นศูนย์กลางอำนาจที่สำคัญ มีผลทำให้ภาคอีสานมีรูปแบบ ศิลปะขอม ตามอย่างในลพบุรี  และอิทธิพลของขอมได้เจริญสูงสุดในอีสาน เมื่อพุทธศตวรรษที่ 17 โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 เมืองหนองหารหลวงในแอ่งสกลนคร ได้รับอิทธิพลจากขอมอย่างเต็มที่ โดยมีหลักฐานทางโบราณคดี และจารึกอักษร และโบราณสถานอีกหลายแห่ง เช่น ภูถ้ำพระ บนเถือกเขาภูพาน ประสาทพระธาตุภูเพ็ก บ้านนาหัวบ่อ พระธาตุเชิงชุม อำเภอเมืองสกลนคร พระธาตุดุม อำเภอเมืองสกลนคร ประสาทพระธาตุนารายณ์เจงเวง อำเภอเมืองสกลนคร ปราสาทบ้านพันนา อำเภอสว่างแดนดิน วัดแดนโมกษาวดี บ้านพานพัฒนา และวัดพุทธไสยาสน์ บ้านค้อเขียว อำเภอวาริชภูมิ


สกลนครสมัยล้านช้าง
          เมื่อสิ้นสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 อิทธิพลของขอมก็ค่อย ๆ เสื่อมลง อาณาจักรล้านช้างเริ่มเข้มแข็งในลุ่มแม่น้ำโขง ได้ขยายออกจากทางการเมือง และเผยแพร่พระพุทธศาสนาเถรวาทแทนที่อิทธิพลศาสนาฮินดู และพุทธศาสนามหายาน
(พ.ศ.1893-1916) เจ้าฟ้ากุ้งมีอำนาจ ในอาณาจักรล้านช้าง พระองค์แผ่อำนาจรวบรวมหัวเมืองลุ่มแม่น้ำโขงทั้งสองฝั่ง  
(พ.ศ.2063-2093) พระเจ้าโพธิสารราช ได้ทรงสร้างวัดในเขตหนองหาร ดังปรากฏข้อความในศิลาจารึกบ้านโพนงามบก
(พ.ศ.2093-2114) สมัยพระเจ้าชัยเชษฐาธิราช ได้เสด็จมาบูรณะพระธาตุพนม และยังเชื่อว่าได้มาบูรณะพระธาตุเชิงชุมด้วย  
(พ.ศ.2180-2237) ในสมัยพระเจ้าสุริยวงศาธรรมมิกราช ได้ส่งพระราชวงศ์ มาปกครองเมืองนครพนม และในขณะเดียวกันได้ส่งพระสมณะฑูตเข้ามาสร้างวัดในเขตเมืองหนองหาร  
การขยายอิทธิพลของกรุงเทพ ฯ เข้าสู่อีสาน และสกลนคร
          ในสมัยกรุงธนบุรี พระเจ้ากรุงธนบุรีทรงขยายอำนาจออกไปให้กว้างไพศาล ครอบคลุมตั้งแต่ลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาตอนเหนือ จนถึงลุ่มน้ำโขงตอนเหนือ  
ในปี พ.ศ.2369 เกิดศึกเจ้าอนุวงศ์เป็นกบฏต่อราชสำนักกรุงเทพ ฯ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรด ฯ ให้กรมพระราชวังบวร ฯ เป็นแม่ทัพหน้ายกไปตีเวียงจันทน์สำเร็จ ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2370   
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ได้โปรดเกล้า ฯ ให้อุปฮาดเมืองกาฬสินธุ์พร้อมครอบครัวไพร่พล  มาตั้งรักษาพระธาตุเชิงชุม ณ ตำบล พระธาตุเชิงชุม และหมู่บ้านอื่นๆอีกหลายตำบล  เมื่อมีผู้คนมาอยู่มากขึ้นพอจะตั้งเมืองได้ จึงได้โปรดเกล้า ฯ ให้ยกบ้านธาตุเชิงชุมขึ้นเป็นเมือง สกลนครทวาปี เมื่อปี พ.ศ. ๒๓๒๙ ตั้งให้อุปฮาดเมืองกาฬสินธุ์ เป็น พระธานี เจ้าเมืองสกลนครทวาปีคนแรก
ในปี พ.ศ. ๒๓๘๑ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้า ฯ ให้เปลี่ยนนามเมืองสกลนครทวาปี เป็นเมืองสกลนคร และแต่งตั้งให้ราชวงศ์ (ดำ) เป็นพระยาประเทศธานี  ในปี พ.ศ. ๒๓๘๗ โปรดเกล้า ฯ ให้ท้าวโฮงกลาง พระเสนาณรงค์ เป็นเจ้าเมืองพรรณานิคม  ยกบ้านพังพร้าวเป็นเมืองพรรณานิคม  ตั้งเมืองกุสุมาลย์มณฑลให้ขึ้นกับเมืองสกลนครให้เพี้ยเมืองสูง  เป็นหลวงอารักษ์อาญา เจ้าเมืองกุสุมาลย์มณฑล  ในปี พ.ศ. ๒๓๙๓  โปรดเกล้า ฯ ให้ท้าวโถงเจ้าเมืองมหาชัย เป็นอุปฮาด ให้ท้าวเหม็น น้องชายอุปฮาด (โถง) เป็นราชบุตร เมืองสกลนคร
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีการจัดตั้งเมืองต่าง ๆ ขึ้นหลายเมืองในจังหวัดสกลนคร ได้แก่  เมืองอากาศอำนวย  เมืองวานรนิวาส  เมืองโพธิไพศาล  ต่อมาได้เกิดเพลิงไหม้ในเมืองสกลนคร เมื่อปี พ.ศ. ๒๓๙๖ ได้รับความเสียหายมาก
ในสมัยรัชกาลที่ 3 และรัชกาลที่ 4
          ในปี พ.ศ.2376-2388 ไทยและญวนได้เริ่มทำการแผ่อิทธิพลเหนือแผ่นดินเขมร และเพื่อเป็นการตัดกำลังญวน ไทยจึงเริ่มทำสงคราม เพื่อการกวาดต้อนผู้คนจากเมืองต่าง ๆ  จึงมีการอพยพผู้คนจากเมืองต่างๆ มาสู่สกลนครเป็นอันมากกลุ่มคนเหล่านี้เป็นชนเผ่าที่แตกต่างกันออกไป เช่น ผู้ไทย  โซ่  โย้ย ญ้อ กะเลิง
 
การปกครองระบบมณฑลเทศาภิบาล
           ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว  ทรงจัดรูปแบบการปกครองใหม่ โดย ให้พระเจ้าน้องชายเธอ กรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคม เสด็จฯมาเป็นข้าหลวงมณฑลฝ่ายเหนือ ในปี พ.ศ. 2434 ศูนย์กลางการปกครองอยู่ที่หนองคาย และเมืองอุดร
ในปี พ.ศ. 2437 ได้มีการจัดตั้งมณฑลเทศาภิบาล ให้เรียกกลุ่มเมืองเป็นมณฑลสกลนครอยู่ในมณฑลลาวพวน ภายใต้การบังคับบัญชาสูงสุด ของพระเจ้าน้องยาเธอกรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคม มีกองบัญชาการที่อุดรธานี  
การเปลี่ยนแปลงการปกครองครั้งสำคัญ
          ในปี พ.ศ.2445 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนแปลง คือ ให้งานราชการตลอดจน การบังคับบัญชาในหน้าที่เจ้าเมืองสกลรวมทั้งแขวง ตกเป็นหน้าที่ของข้าหลวงบริเวณทั้งหมด ส่วนเมืองบริวารของเมืองสกลตั้งเป็นอำเภอ ให้เจ้าเมืองเป็นนายอำเภอ อุปฮาดเป็นปลัดอำเภอ ราชวงศ์เป็นสมุหอำเภอ ราชบุตรเป็นเสมียนอำเภอ สำหรับพระยาประจันตประเทศธานีเจ้าเมือง ให้เป็นที่ปรึกษาราชการของข้าหลวงเมืองบริเวณ หลังจากนั้นมา สกลนครได้มีข้าหลวงมาจากส่วนกลางเข้ามาบริหารราชการหลายคนจนถึง
พ.ศ.2459 ในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงได้เปลี่ยนนามเมืองเป็นจังหวัดทั่วราชอาณาเขตสยาม เมืองสกลนครตั้งขึ้นเป็นจังหวัดสกลนคร ตั้งแต่นั้นมา
              และในปี พ.ศ. ๒๔๖๒ ได้โปรดเกล้า ฯ ให้สร้างสนามบินขึ้นในเขตอำเภอเมือง
           
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เปลี่ยนชื่อตำแหน่งข้าหลวง มาเป็นตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗๔  และข้าหลวงคนที่ ๗ ของจังหวัดสกลนคร คือ พระตราษบุรีศรีสมุทรเขต จึงได้เป็นผู้ว่าราชการจังหวัด สกลนครคนแรก


นำเสนอ
สกลนครยุคก่อนประวัติศาสตร์
ขุดค้น โครงกระดูกของคนยุคก่อนประวัติศาสตร์เหล่านี้ มีอายุระหว่าง 3,200-1,000 ปี ก่อนพุทธศักราช ที่บ้านดอนธงชัย ตำบลสว่างแดนดิน อำเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร
ยุคเหล็กในสกลนคร
อุตสาหกรรมเหล็กนั้นเกิดขึ้นในราว 2,400 ปี ส่วนการผลิตเกลือเกิดขึ้นเมื่อ 2,000 ปี ก่อนพุทธศักราช ในช่วงเวลา 3,200-2,500 ปี ก่อนพุทธศักราช  ซึ่งพบหลักฐานตามลุ่มแม่น้ำสงครามตอนบน
บางชุมชนขึ้นไปอาศัยอยู่ตามเทือกเขาภูพาน เกิดศิลปะถ้ำที่มีทั้งการขีดเขียน การเจาะเซาะร่องลงในแผ่นหินทราย และภาพเขียนสีตามเพิงผา เช่น ที่ถ้ำผาลายภูผายนต์ ถ้ำพระด่านแร้ง ถ้ำม่วงภูถ่อ และถ้ำผักหวาน
สกลนครสมัยทวารวดี
ระหว่างพุทธศตวรรษที่ 12-16   หลักฐานทางโบราณคดี สมัยทวารวดีในสกลนคร มีพระพุทธไสยาสน์ศิลปะทวารวดีแกะสลักที่หน้าผาหินทราย และพระพุทธรูปดินดิบในบริเวณวัดเชิงดอยเทพรัตน์ และในเขตรอบ ๆ หนองหารพบพระพุทธรูปทวารวดีปางสมาธิมารวิชัย ที่วัดกลางศรีเชียงใหม่ และเสมาหินทั้ง 8 ทิศ ปักที่เนินดินเขตพิธีกรรม  
สกลนครสมัยลพบุรี
ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 16-18 รับอิทธิพลของขอมทั้งในด้านการปกครอง เศรษฐกิจ สังคม และศาสนาเมื่อพุทธศตวรรษที่ 17 โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 เมืองหนองหารหลวงในแอ่งสกลนคร ได้รับอิทธิพลจากขอมอย่างเต็มที่ โดยมีหลักฐานทางโบราณคดี และจารึกอักษร และโบราณสถานอีกหลายแห่ง เช่น ภูถ้ำพระ บนเถือกเขาภูพาน ประสาทพระธาตุภูเพ็ก บ้านนาหัวบ่อ พระธาตุเชิงชุม อำเภอเมืองสกลนคร พระธาตุดุม อำเภอเมืองสกลนคร ประสาทพระธาตุนารายณ์เจงเวง อำเภอเมืองสกลนคร ปราสาทบ้านพันนา อำเภอสว่างแดนดิน วัดแดนโมกษาวดี บ้านพานพัฒนา และวัดพุทธไสยาสน์ บ้านค้อเขียว อำเภอวาริชภูมิ
สกลนครสมัยล้านช้าง
          เมื่อสิ้นสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 อิทธิพลของขอมก็ค่อย ๆ เสื่อมลง อาณาจักรล้านช้างเริ่มเข้มแข็งในลุ่มแม่น้ำโขง ได้ขยายออกจากทางการเมือง และเผยแพร่พระพุทธศาสนาเถรวาทแทนที่อิทธิพลศาสนาฮินดู และพุทธศาสนามหายาน
พ.ศ.1893-1916พ.ศ.2180-2237
การขยายอิทธิพลของกรุงเทพ ฯ เข้าสู่อีสาน และสกลนคร
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ได้โปรดเกล้า ฯจึงได้โปรดเกล้า ฯ ให้ยกบ้านธาตุเชิงชุมขึ้นเป็นเมือง สกลนครทวาปี เมื่อปี พ.ศ. ๒๓๒๙ ตั้งให้อุปฮาดเมืองกาฬสินธุ์ เป็น พระธานี เจ้าเมืองสกลนครทวาปีคนแรก
ในปี พ.ศ. ๒๓๘๑ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้า ฯ ให้เปลี่ยนนามเมืองสกลนครทวาปี เป็นเมืองสกลนคร
ในสมัยรัชกาลที่ 3 และรัชกาลที่ 4
          ในปี พ.ศ.2376-2388 ไทยและญวนได้เริ่มทำการแผ่อิทธิพลเหนือแผ่นดินเขมร และเพื่อเป็นการตัดกำลังญวน ไทยจึงเริ่มทำสงคราม เพื่อการกวาดต้อนผู้คนจากเมืองต่าง ๆ  จึงมีการอพยพผู้คนจากเมืองต่างๆ มาสู่สกลนครเป็นอันมากกลุ่มคนเหล่านี้เป็นชนเผ่าที่แตกต่างกันออกไป เช่น ผู้ไทย  โซ่  โย้ย ญ้อ กะเลิง
ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว  ทรงจัดรูปแบบการปกครองใหม่   ในปี พ.ศ. 2434 ศูนย์กลางการปกครองอยู่ที่หนองคาย และเมืองอุดร
ในปี พ.ศ. 2437 ได้มีการจัดตั้งมณฑลเทศาภิบาล ให้เรียกกลุ่มเมืองเป็นมณฑลสกลนครอยู่ในมณฑลลาวพวน ภายใต้การบังคับบัญชาสูงสุด ของพระเจ้าน้องยาเธอกรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคม มีกองบัญชาการที่อุดรธานี  
  
พ.ศ.2459 ในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงได้เปลี่ยนนามเมืองเป็นจังหวัดทั่วราชอาณาเขตสยาม เมืองสกลนครตั้งขึ้นเป็นจังหวัดสกลนคร ตั้งแต่นั้นมา
 ขอขอบคุณข้อมูล จาก ททท.สำนักงานนครพนม





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น